ท่านศาสดานุฮ์
(อ.)
กุรอานกล่าวถึงท่านศาสดานุฮ์ (อ.)ถึง 43 ครั้ง ด้วยกัน
เรื่องราวของท่านศาสดานุฮ์ (อ.)ถูกกล่าวไว้พอสังเขปในซูเราะฮ์ อะอ์รอฟ , ชุอะรออ์ , เกาะมัร
แต่ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮ์ นุฮ์และฮูดอย่างละเอียด
ท่านศาสดานุฮ์
(อ.)มีคุณลักษณะโดดเด่นมากที่สุดท่านหนึ่งในหมู่บรรดาศาสดาทั้งหลาย
ความโดดเด่นอันนี้มีผลมาจากสิ่งดังกล่าวต่อไปนี้
1- ได้รับตำแหน่งศาสดา” อูลุลอัซม์ “เป็นท่านแรก ท่าน ศาสดานุฮ์ (อ.)
ถือเป็นบรรพบุรุษของบรรดาศาสดาที่มีเชื้อสายต่อจากท่านศาสดาอาดัม (อ.)
เป็น
ศาสดาท่านแรกที่ได้รับตำแหน่ง อูลุลอัซม์
ซึ่งได้รับบทบัญญัติจากอัลลอฮ์และมีหน้าที่เผยแผ่บทบัญญัติ
ที่ได้รับมาแก่
มนุษยชาติทั้งหลาย
หนึ่ง ในคุณลักษณะพิเศษของท่านศาสดานุฮ์ (อ.) คือ
เป็นศาสดาท่านแรกที่ได้รับตำแหน่งอูลลุอัซม์ โดย
ได้รับหน้าที่เผยแพร่บทบัญญัติที่ประทานจากพระเจ้าให้โดยเฉพาะ
ชื่อของท่านถูกกล่าวไว้ในกุรอานโดยถูกกล่าวไว้ในกลุ่มเดียวกับ ศาสดาอิบรอฮีม , ศาสดามูซา , อีซา อย่างเช่นในซูเราะฮ์
ชูรอ โองการที่ 13 กล่าวว่า :
“พระองค์ได้ทรงกำหนดศาสนาแก่พวกเจ้าเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบัญชาแก่นุฮ์
และที่เราได้วะฮีย์แก่เจ้าก็เช่นเดียวกับที่เราได้บัญชาแก่อิบรอฮิม และมูซา
และอีซาว่า พวกเจ้าจงดำรงศาสนาไว้ให้คงมั่น และอย่าแตกแยกกันในเรื่องศาสนา
แต่เป็นเรื่องใหญ่แก่พวกตั้งภาคีที่เจ้าเรียกร้อง เชิญชวนพวกเขาไปสู่ศาสนานั้น
อัลลอฮ์ทรงเลือกสำหรับพระองค์ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และทรงชี้แนะทางสู่พระองค์ผู้ที่ผินหน้าสู่พระองค์”
และในซูเราะฮ์ อะห์ซาบ โองการที่ 7 กล่าวว่า
“และจงรำลึกถึงขณะที่เราได้เอาคำมั่นสัญญาของพวกเขาจากบรรดานะบีและจากเจ้า
และจากนุฮ์ และอิบรอฮีม และมูซา และอิซา บุตรของ มัรยัม
และเราได้เอาคำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นจากพวกเขา”
2- บิดาคนที่สองแห่งมนุษยชาติ
“ และเราได้ช่วยเขาและชุมชนของเขาให้พ้นจากทุกข์ภัยอันมหันต์
และเราได้ให้ลูกหลานของเขายังคงมีชีวิตเหลืออยู่ และเราได้ปล่อยทิ้งไว้
(เกียรติคุณ) แก่เขาในกลุ่มชนรุ่นหลัง ๆ
ความศานติจงมีแด่นุฮ์ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย แท้จริง เช่นนั้นแหละเราจะตอบแทนผู้กระทำความดีทั้งหลายแท้จริง
เขา(นุฮ์) อยู่ในปวงบ่าวของเราผู้ศรัทธา แล้วเราได้ให้พวกอื่นจมน้ำตาย
และกล่าวไว้ในซูเราะฮ์ฮูด โองการที่ 40 ว่า
“จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มา
และบนพื้นแผ่นดินน้ำได้พวยพุ่งขึ้น เรากล่าวว่า ”จงบรรทุกไว้ในเรือจากทุกชนิดเป็นคู่
ๆ และครอบครัวของเจ้าด้วย เว้นแต่ผู้ที่พระดำรัสได้กำหนดแก่เขาไว้ก่อน
และผู้ศรัทธาแต่ไม่มีผู้ศรัทธาร่วมกับเขานอกจากจำนวนเล็กน้อย”
การ รอดชีวิตของเหล่าสาวกผู้ซื่อสัตย์
เป็นผลมาจากความจำเริญและความเมตตาที่อัลลอฮ์ (ซบ.) มอบให้แก่ท่านศาสดานุฮ์ (อ.)
จากตรงนี้เองจึงถือได้ว่าท่านศาสดานุฮ์
(อ.)คือบิดาท่านที่สองของมนุษยชาติต่อจากท่านศาสดาอาดัม (อ.)
3- มีอายุในการเผยแพร่ศาสนายาวนานที่สุด
อีก คุณสมบัติหนึ่งของท่านศาสดานูฮ์
(อ.)ที่ถูกกล่าวถึงในกุรอานก็คือท่านมีอายุไขที่ยาวนานที่สุด ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮ์อันกะบูตว่า “และโดยแน่นอนเราได้ส่งนุฮ์ไปยังหมู่ชนของเขา
และเขาได้อยู่ร่วมกับพวกเขาหนึ่งพันปีเว้นห้าสิบปี (950 ปี)”
คำ ว่าหนึ่งพันปี ยกเว็นห้าสิบปีที่มาใช้แทนคำว่า
เก้าร้อยห้าสิบปีนั้นเป็นการเน้นย้ำถึงการมีอายุที่ยืนยาวนานและมีช่วงเวลา
การเผยแพร่ที่ยาวนานซึ่งศาสดาท่านอื่นไม่เคยถูกกล่าวถึงในลักษณะเช่นนี้เลย
นัก
วิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นเกี่ยวกับอายุของท่านศาสดานูฮ์ (อ.)
ตั้งแต่การเกิดจนถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนั้น ตามคัมภีร์เตารอต กล่าวว่า อายุของท่านศาสดานูฮ์รวมทั้งหมด
950 ปี หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ศาสดานูฮ์ยังมีชีวิตอยู่อีกถึง350
ปีและเสียชีวิตตอนอายุ 950 ปี
แต่หากดูตามความหมายของโองการที่กล่าวข้างต้น 950
ปีนั้นหมายถึงช่วงชีวิตที่ท่านทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาต่างหาก
ซึ่งอายุไขของท่านจริงๆแล้วมากกว่านั้น
คุณสมบัติเฉพาะของกลุ่มชนท่านศาสดานุฮ์
ใน ตอนแรกเรากล่าวถึง
คุณสมบัติของท่านศาสดานุฮ์ไปแล้ว
ในตอนสองนี้เราจะขอกล่าวถึงคุณสมบัติของกลุ่มชนที่ท่านศาสดานูฮ์ได้รับ
หน้าที่ไปเผยแพร่สัจธรรม กุรอานกล่าวถึงคุณสมบัติของพวกเขาไว้ดังนี้
1- เป็นพวกบูชาเจว็ด หาก
พิจารณาจากกุรอานและรายงานทางประวัติศาสตร์จะพบว่า
ในสมัยของท่านศาสดานุฮ์การบูชารูปปั้นเป็นความเชื่อหลักของชนในสมัยนั้น
พวกเขาสร้างรูปจำลองพระเจ้าขึ้นมาและนำสิ่งดังกล่าวมาบูชากราบไหว้พร้อมทั้ง
ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากแต่กลับปฏิเสธการเรียกร้องไปสู่การมีพระเจ้าองค์
เดียวอย่างสิ้งเชิง
กุรอานกล่าวถึงกลุ่มชนดังกล่าวไว้ในซูเราะฮ์ นุฮ์
โองการที่ 23 ว่า : “และพวกเขาได้กล่าวว่า
พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งพระเจ้าทั้งหลายของพวกท่านเป็นอันขาด พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้ง
วัดด์ และสุวาอ์ และยะฆูษ และยะอู๊ก และนัซร์ เป็นอันขาด”
ความ
โง่เขลาและความดื้อด้านได้ฝั่งรากลึกอยู่ในกลุ่มชนของท่านศาสดานุฮ์
จนถึงขนาดที่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับตรรกะและการเรียกร้องไปสู่สัจธรรมใดๆทั้ง สิ้น
พวกเขาไม่รับฟังคำเรียกร้องไปสู่ความยุติธรรมและเสรีภาพที่แท้จริงของมนุษย์
เลยแม้แต่น้อย กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้โดยยกคำกล่าวของท่านศาสดานูฮ์ไว้ในซูเราะฮ์
นุฮ์ โองการที่ 7 ว่า : “และแท้จริงทุกครั้งที่ข้าพระองค์เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาเพื่อที่พระองค์ท่านจะได้อภัยโทษให้แก่พวกเขา
พวกเขาก็เอานิ้วมืออุดรูหูของพวกเขา และเอาเสื้อผ้าของพวกเขาคลุมโปง
และพวกเขายังดื้อรั้น และหยิ่งยะโสด้วยความจองหอง ” 3-สังคมเต็มไปด้วยการกดขี่และความเสื่อมเสียสังคม
ของกลุ่มชนที่ท่านศาสดานุฮ์ใช้ชีวิตอยู่เต็มไปด้วยการกดขี่และความเสื่อม
เสียจนถึงขนาดที่ท่านศาสดานุฮ์เองไม่มีความหวังที่จะทำให้พวกเขาศรัทธาในพระ
เจ้าอีกต่อไป กุรอานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวจากคำของท่านศาสดานูฮ์ไว้ในซูเราะฮ์นุ
ฮ์โองการที่ 26-27 ว่า : “ และนุฮ์ได้กล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้า
ขอพระองค์ทรงอย่าปล่อยให้พวกปฏิเสธศรัทธาหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินนี้เลย *
เพราะแท้จริง หากพระองค์ทรงปล่อยให้พวกเขาหลงเหลืออยู่
พวกเขาก็จะทำให้ปวงบ่าวของพระองค์หลงผิด และพวกเขานั้นจะให้กำเนิดแต่พวกเลวทราม
พวกปฏิเสธศรัทธาเท่านั้น ”
4-เป็นกลุ่มชนที่หลงใหลในอำนาจและทรัพย์สิน
กลุ่ม
ชนของท่านศาสดานุฮ์เป็นกลุ่มชนที่หลงใหลและเชื่อฟังผู้ที่มีอำนาจและคนที่
ร่ำรวยเพี่อให้ได้ทรัพย์สินมาครอบครองพวกเขาใช้เล่ห์และอุบายหลอกลวงกัน
เองอย่างน่ารังเกียจที่สุด กุรอานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวจากคำของท่านศาสดานุฮ์
ไว้ในซูเราะฮ์นูฮ์ โองการที่ 21-22 ว่า : “นุฮ์ได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
แท้จริงพวกเขาได้ฝ่าฝืนข้าพระองค์และเชื่อฟังผู้ที่ทรัพย์สินและลูกหลานของเขามิได้เพิ่มพูนอันใดแก่เขานอกจากการขาดทุน ”
5- เป็นกลุ่มชนที่มีผู้ศรัทธาอยู่น้อยมาก
ความ
เสื่อมเสียและการปฏิเสธการมีพระเจ้าองค์เดียวถึงแม้จะมีให้เห็นทั่วไปใน
กลุ่มชนอื่น แต่ในกลุ่มชนของท่านศาสดานุฮ์เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกจนยากที่จะแก้ไขได้
จนถึงขนาดที่ว่าท่านศาสดานุฮ์ใช้เวลาถึง 950 ปีในการเผยแพร่สัจธรรมแต่มีเพียง 80
คนเท่านั้น !!! ที่ตอบรับคำเรียกร้องท่านศาสดานุฮ์
มีรายงานฮะดิษจากศาสดามุฮัมมัดที่กล่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า
: “ แท้จริงท่านศาสดานุฮ์ได้เผยแพร่เรียกร้องกลุ่มชนของตัวเองเป็นเวลาถึง
950 ปี และอัลลอฮ์ทรงกล่าวถึงคุณสมบัติของพวกเขาที่มีจำนวนผู้ศรัทธาน้อยมาก
และท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า : พวก
เขาไม่ได้ศรัทธาต่อนุฮ์เลยนอกจากคนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ศรัทธาต่อเขา
มีคนปฏิบัติตามฉันตั้งแต่ฉันยังมีอายุน้อยจนกระทั่งฉันแก่ชรา แต่ในขณะที่ไม่มีคนศรัทธาต่อนุฮ์เลยจนกระทั่งเขาชราภาพ ”
และมีสายรายงานจากท่านอิบนิอับบาสว่า
ท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า : “ ท่านศาสดานุฮ์นำสาวกเพียง 80 คนขึ้นเรือไปพร้อมกับท่านด้วย ”
กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด
โองการที่ 25 – 26 ว่า : “ และโดยแน่นอน เราได้ส่งนูฮ์ไปยังกลุ่มชนของเขา (โดยกล่าวว่า) “แท้
จริงฉันเป็นผู้ตักเตือนอันแน่ชัดแก่พวกท่านแล้วคือพวกท่านอย่าเคารพภักดีผู้
ใดนอกจากอัลลอฮ์ แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านถึงการลงโทษในวันอันเจ็บปวด ”
ท่าน
ศาสดานูฮ์ใช้ความพยายามทั้งกลางวันและกลางคืนในการเรียกร้องประชาชนไปสู่
อิสระภาพที่แท้จริง กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ในซูเราะฮ์ นูฮ์ โองการที่ 5 ว่า : “ เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
แท้จริงข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนหมู่ชนของข้าพระองค์ทั้งกลางคืนและกลางวัน ”
กุรอานยังกล่าวถึงประเด็นนี้อีกในซูเราะฮ์
นูฮ์ ในโอ ครั้น
แล้วข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาอย่างเปิดเผย
แล้วข้าพระองค์ก็ได้ประกาศแก่พวกเขาอย่างงการที่ 8 – 9 ว่า : “เปิดเผย
อีกทั้งข้าพระองค์ยังได้บอกกล่าวแก่พวกเขาอย่างลับ ๆ อีกด้วย ”
ท่าน
ศาสดานูฮ์ทำทุกวิถีทางในการนำเสนอสัจธรรมและสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน
เพื่อนำพวกเขาไปสู่การเคารพภักดีพระเจ้าองค์เดียว
ท่านกล่าวถึงคุณลักษณะอันสูงส่งของพระเจ้า
กล่าวถึงความโปรดปรานที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์โดยหวังว่าจะโน้มน้าว
หัวใจของพวกเขาไปสู่ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว
กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ในซูเราะฮ์ นูฮ์ โองการที่ 10 – 16 ว่า :
“ ข้า
พระองค์ได้กล่าวว่า พวกท่านจงขออภัยโทษต่อพระเจ้าของพวกท่านเถิด
เพราะแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษอย่างแท้จริง
พระองค์จะทรงหลั่งน้ำฝนอย่างมากมายแก่พวกท่าน
และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนทรัพย์สินและลูกหลานแก่พวกท่านและจะทรงทำให้มีสวน
มากหลายแก่พวกท่าน และจะทรงทำให้มีลำน้ำมากหลายแก่พวกท่าน
ทำไมพวกท่านจึงไม่สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺและโดยแน่นอนพระองค์ทรง
สร้างพวกท่านตามลำดับขั้นตอน
พวกเจ้าไม่เห็นดอกหรือว่าอัลลอฮ์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดเป็นชั้น ๆ อย่างไร
และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่าง และทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า ”
หมดหวังในความศรัทธาของกลุ่มชน
ท่าน
ศาสดานูฮ์ไม่เคยได้รับสิ่งใดเป็นการตอบแทนในความพยามอย่างมากมาย เพื่อชี้นำมนุษย์
นอกจากการถูกกลั่นแกล้ง การข่มขู่ และการเป็นศัตรูเท่านั้น กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮ์
ชุอารออ์ โองการที่ 116 ว่า :
“ พวกเขากล่าวว่า
โอ้นูฮ์ หากท่านไม่หยุดยั้งแน่นอนท่านจะอยู่ในหมู่ผู้ถูกขว้างด้วยก้อนหิน ”
ความ
ดื้อรั้นของกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์ ถึงขนาดที่ว่าบ่าวผู้อดทนอย่างท่านศาสดานูฮ์
ต้องร้องขอต่ออัลลอฮ์ให้ตัวเองรอดพ้นจากความเลวร้ายของกลุ่มชนนี้
กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ชุอารออ์ โองการที่117 – 118 ว่า :
“ เขา กล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของฉัน แท้จริงหมู่ชนของฉันปฏิเสธฉัน
ดังนั้นขอพระองค์ทรงตัดสินระหว่างฉันกับพวกเขาโดยยุติธรรมเถิด และทรงโปรดช่วยฉัน
และบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่ร่วมกับฉันให้รอดพ้นด้วยเถิด ”
ท่าม
กลางความเลวร้ายและการกลั่นแกล้งจากกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์
ท่านมิได้ทอดทิ้งพวกเขาเลย จนกระทั่งมีคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านสร้างเรือ
มีคำสั่งให้สร้างเรือ
ช่วง
ชีวิตที่ถือว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดของท่านศาimages (10).jpgสดานูฮ์ คือช่วงเวลาในการสร้างเรือ เพราะช่วงนี้เองท่านถูกข่มขู่
ถูกกลั่นแกล้งแม้กระทั่งถูกทรมานอย่างรุนแรงที่สุด
กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 36 – 37 ว่า :
“ และได้มีวะฮ์ยูแก่นูฮ์ว่า “แท้ จริงจะไม่มีผู้ใดจากหมู่ชนของเจ้าศรัทธา เว้นแต่ผู้ที่ได้ศรัทธาแล้ว
ดังนั้น เจ้าอย่าเศร้าหมองในสิ่งที่พวกเขากระทำ
และเจ้าจงสร้างเรือต่อหน้าเราและตามคำบัญชาของเรา และอย่ามาพูดกับข้า
ถึงบรรดาผู้อธรรม แท้จริงพวกเขาจะถูกจมน้ำตาย ”
หลัง
จากได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ให้สร้างเรือ ท่านได้เริ่มสร้างเรืออย่างมุ่งมั่น
แต่พื้นที่ที่ท่านศาสดานูฮ์อาศัยอยู่เป็นพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายห่างไกลจาก
แม่น้ำและทะเล
ด้วยเหตุนี้เองการสร้างเรือในสภาพที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายเป็นเรื่องน่าแปลก
สำหรับกลุ่มชนของท่านอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่พวกเขาเดินผ่านและเห็นท่านศาสดากำลังสร้างเรือ
พวกเขาจะเยาะเย้ย และกลั่นแกล้งเป็นประจำ
กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่ 38 ว่า : “ และเขาได้สร้างเรือ
และคราใดที่บุคคลชั้นนำจากหมู่ชนของเขาเดินผ่านเขา(นูฮ์) พวกเขาก็เยาะเย้ย
เขาก็จะกล่าวว่า“หากพวกท่านเยาะเย้ยพวกเรา
แท้จริงเราก็จะเยาะเย้ยพวกท่านเช่นเดียวกับที่พวกท่านเยาะเย้ย ”
จาก
อายะฮ์ข้างต้นบ่งชี้ว่า พวกมีอำนาจในกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮ์
จะคอยกลั่นแกล้งท่านและสาวกของท่านอยู่ตลอดเวลา
ใครก็ตามที่ผ่านมาเห็นท่านศาสดานูฮ์ จะกล่าวเย้ยหยันท่าน บางคนกล่าวว่า “ โอ้นูฮ์ นอกจากเจ้าจะเป็นศาสดาแล้วยังเป็นช่างไม้ด้วยนะ ” หรือบางคนกล่าวว่า “ สร้างเรือบนบกแบบนี้
เจ้าจะใช้มันเมื่อไหร่กัน ”
กุรอานกล่าวถึงคำตอบท่านศาสดานูฮ์
ที่กล่าวตอบแก่พวกเขาไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่39 ว่า :
“ แล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าผู้ใดที่การลงโทษอันอัปยศจะมายังเขา
และการลงโทษยาวนานจะประสบแก่เขา ”
อย่าง
ไรก็ตามท่านศาสดานูฮ์ได้สร้างเรือตามคำสั่งของอัลลอฮ์จนเสร็จ
หลังจากนี้เองเป็นช่วงเวลาที่ท่านศาสดานูฮ์รอคำสั่งจากอัลลอฮ์อีกครั้งเพื่อ
ให้พระองค์ทรงทำให้เกิดพายุและน้ำท่วมเหตุการณ์ น้ำท่วมโลกเป็นช่วงสุดท้ายของการรอคอยของท่านศาสดานูฮ์
เป็นช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์ถึงความอ่อนแอของบรรดาเจว็ดและพวกบูชาเจว็ดทั้ง
หลายรวมทั้งเป็นการพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ (ซบ.)
หลัง จากที่ท่านศาสดานูฮ์ ได้เห็นสัญญานต่าง ๆ
ที่แสดงถึงการเกิดน้ำท่วมโลก ท่านได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ให้นำสัตว์ทั้งหลายขึ้นเรือ
ท่านศาสดานูฮ์ได้นำสัตว์แต่ละชนิดขึ้นเรือเป็นคู่ ๆ
พร้อมทั้งบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหมด( ยกเว้นภรรยาและบุตรชายของท่านเอง )
โดยก้าวขึ้นเรือด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์และหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ในความเมตตาของพระองค์กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด โองการที่
40 – 41 ว่า -
จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มาและบนพื้นแผ่นดินน้ำได้พวยพุ่งขึ้น เรากล่าวว่า “ จงบรรทุกไว้ในเรือจากทุกชนิดเป็นคู่ ๆและครอบครัวของเจ้าด้วย
เว้นแต่ผู้ที่พระดำรัสได้กำหนดแก่เขาไว้ก่อนและผู้ศรัทธาแต่ไม่มีผู้ศรัทธาร่วมกับเขานอกจากจำนวนเล็กน้อยและเขากล่าวว่า “พวกท่านจงลงในเรือด้วยพระนามของอัลลอฮ์
ทั้งในยามแล่นของมันและในยามจอดของมัน แท้จริงพระเจ้าของฉันเป็นผู้ทรงอภัย
ผู้ทรงเมตตาเสมอ ”
หลัง
จากที่ท่านศาสดานูฮ์และบรรดาสาวกผู้ศรัทธาขึ้นเรือแล้ว มีคำสั่งจากฟากฟ้าให้ลงโทษกลุ่มชนผู้ปฎิเสธ
เมื่อนั้นเองท้องฟ้ามืดครึ้มและเต็มไปด้วยเมฆฝน
ฝนเม็ดใหญ่เทลงมาเสมือนกับว่าประตูแห่งท้องฟ้าได้เปิดออก
อีกด้านหนึ่งเกิดตาน้ำที่มีน้ำพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงไปทั่วผืนแผ่นดิน หลัง
จากนั้นไม่นานเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่กลุ่มชนผู้ปฏิเสธอย่างรุนแรง
จนกระทั่งบรรดาผู้ปฏิเสธต่างหมดหวังที่จะมีชิวิตรอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้
กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด
โองการที่ 42 – 43 ว่า -
และมันแล่นพาพวกเขาไปท่ามกลางคลื่นลูกเท่าภูเขา
และนูฮ์ได้ร้องเรียกลูกชายของเขาซึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว “ โอ้ลูกของฉันเอ๋ย ! จงมาขึ้นเรือมากับเราเถิด
และเจ้าอย่าอยู่ร่วมกับผู้ปฏิเสธศรัทธาเลย ” เขา(ลูกชาย)
กล่าวว่า “ฉัน
จะไปอาศัยภูเขาลูกหนึ่ง
มันจะคุ้มครองฉันจากน้ำนี้ได้ ”เขา(นูฮ์) กล่าวว่า “ ไม่มีผู้ใดคุ้มครอง
(เจ้าได้) ในวันนี้ (ให้พ้น) จากพระบัญชาของอัลลอฮ์เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงเมตตา ” และคลื่นได้ซัดเข้ามาระหว่างเขาทั้งสอง และเขา(ลูกชาย)
ได้อยู่ในหมู่ของผู้จมน้ำตายหลัง จากเหตุการณ์สงบลง
เรือของท่านศาสดานูฮ์มาหยุดอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง
สัญญาของพระผู้เป็นเจ้าได้เกิดขึ้นแล้ว สัญญาที่พระองค์จะทำให้บรรดาผู้ศรัทธาได้รับชัยชนะและทำลายพวกบูชาเจว็ดทั้ง
หลาย ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลกกำลังจะเกิดขึ้น
ทุกสิ่งกำลังถูกตระเตรียมให้ไปสู่การศรัทธาและความบริสุทธิ์
กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์ ฮูด อายะฮ์ที่ 44 – 48 ว่า “แผ่นดินเอ๋ย! จงกลืนน้ำของเจ้า และฟ้าเอ๋ย
! จงหยุด” และน้ำได้ลดลงและกิจการได้ถูกตัดสิน
และมันได้จอดเทียบอยู่ที่ยอดเขา และได้มีเสียงกล่าวว่า “ความหายนะจงประสบแก่หมู่ชนผู้อธรรมเถิด” และนูฮ์ได้ร้องเรียนต่อพระเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า แท้จริงลูกชายของข้าพระองค์เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของข้าพระองค์
และแท้จริงสัญญาของพระองค์นั้นเป็นความจริง
และพระองค์เท่านั้นทรงตัดสินเที่ยงธรรมยิ่งในหมู่ผู้ตัดสินพระองค์ทรงตรัสว่า
“โอ้นูฮ์เอ๋ย ! แท้
จริงเขามิได้เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของเจ้า แท้จริงการกระทำของเขาไม่ดี
ดังนั้นเจ้าอย่าร้องเรียนต่อข้าในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้
แท้จริงข้าขอเตือนเจ้าที่เจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้งมงาย เขากล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์
แท้จริงข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ท่าน
ให้พ้นจากการร้องเรียนต่อพระองค์ท่านในสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น
และหากพระองค์ไม่ทรงอภัยแก่ข้าพระองค์ และไม่ทรงเมตตาข้าพระองค์แล้ว
ข้าพระองค์ก็จะอยู่ในหมู่ของผู้ขาดทุน ได้มีเสียงกล่าวว่า โอ้นุห์เอ๋ย ! จงลงไป(จากเรือ) ด้วยความศานติจากเรา และความจำเริญแก่เจ้า
และแก่กลุ่มชนที่อยู่กับเจ้า และกลุ่มชนอื่นที่เราจะให้พวกเขาหลงระเริง แล้วการลงโทษอย่างเจ็บปวดจากเราก็จะประสบแก่พวกเขา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น